วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Prefix และ Suffix

Prefix
แปลว่า “อุปสรรค”หมายถึงคำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปจากเดิมเราเรียนคำเช่นนี้ว่า “Prefix” = อุปสรรค
ยกตัวอย่างดังนี้

1. Un (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น suitable เหมาะสม unsuitable ไม่เหมาะสม
countable นับได้ uncountable นับไม่ได้

2. Im (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)เมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น polite สุภาพ impolite ไม่สุภาพ

3. In (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) เท่านั้นเมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมาย
เช่น expensive แพง inexpensive ไม่แพง

4. Re (อีก) ใช้สำหรับเติมหน้าคำกริยา (verb) หรือคำนามที่มาจากกริยาเท่านั้นเมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายว่า “ทำอีก”
เช่น write เขียน rewrite เขียนใหม่
speak พูด respeak พูดอีก

5. Dis (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้ากริยา (verb) หรือเติมหน้าคุณศัพท์ (Adjective)และเมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น like ชอบ dislike
ไม่ชอบagree เห็นด้วย disagree ไม่เห็นด้วย

6. Mis (ผิด) ใช้สำหรับนำหน้าหรือเติมหน้าคำกริยา (verb) เท่านั้นเมื่อเติมแล้วทำให้กริยาตัวนั้น มีความหมายว่า “กระทำผิด”
เช่น take ทำ mistake ผิดพลาด
spell สะกดตัว misspell สะกดตัวผิด

7. Pre (ก่อน) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม (Noun) หรือกริยา (verb)เมื่อเติมแล้วทำให้นามนั้นมีความหมายว่า “ก่อน , หรือทำก่อน”
เช่น
history ประวัติศาสตร์ prehistory ก่อนประวัติศาสตร์
university มหาวิทยาลัย preuniversity ก่อนมหาวิทยาลัย

8. Ir มีคำแปลว่าไม่จะใช้เติมหน้าคำศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัว R
เช่น regular ปกติ irregular ที่ผิดปกติ

9. Bi (สอง) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม และเมื่อเติม bi เข้าข้างหน้าแล้วทำให้คำนั้นมีความหมาย“สอง”ขึ้นมาทันที
เช่น cycle จักรยาน bicycle จักรยานสองล้อ

10. Il อุปสรรคตัวนี้มีคำแปลว่า ไม่ แต่ว่าต้องนำไปเติมข้างหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัว L นั้น
เช่น legal ถูกกฎหมาย illegal ไม่ถูกกฎหมาย


Suffix
เป็นส่วนของคำที่เติม เพื่อให้รากศัพท์มีความหมายชัดเจนขึ้น เป็นส่วนของคำที่เติม เพื่อให้รากศัพท์มีความหมายชัดเจนขึ้นเช่น"ful" แปลว่า เต็มไปด้วย
เพราะฉนั้น careful จึงแปลว่า เต็มไปด้วย เช่น careful beautiful useful meaningful ดังนั้นคำที่ลงท้ายด้วย "_ful" บอกเราว่าเต็มไปด้วย เช่น คำที่ mesningful คือ คำที่มากด้วยความหมาย คำที่ลงท้ายด้วย suffix ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนชนิดของตัว (part of speech) เช่น คำนาม , คำคุณศัพท์ , คำกริยา และคำกริยาวิเศษณ์
เช่น
1. adjective + en = verb
sharp = sharpen ( make it sharper )
wide = widen

2. noun + en = verb
length = lenghten
straight = straighten
height = heighten


3. noun + en = adjective
gold = golden
wood = wooden


4. noun + y = adjective
wood = woody ( like wood )


5. noun + y = adjective
cloud = cloudy ( a lot of clouds )
rain = rainy
wind = windy

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Context Clues การเดาความหมายจากบริบท

Context Clues
การเดาความหมายจากบริบทcontext = ปริบทหรือบริบท , clue = ตัวชี้แนะ อุปสรรคที่มักพบบ่อยๆ ในการอ่านภาษาอังกฤษก็คือ การไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่าน ไม่สามารถตีความโจทย์ข้อสอบได้ อ่านไม่เข้าใจ ทำข้อสอบได้ไม่ดี วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ต้องรู้ความหมายศัพท์และสามารถนำไปใช้ได้ แต่การรู้ความหมายศัพท์โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม (Dictionary) ดังนี้

Definition type ( การให้คำนิยาม )
เป็นชนิดของสิ่งแนะที่ชี้แสดงความหมายหรือนิยามคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งผู้อ่านสามารถสังเกตการนิยามความหมายของคำศัพท์ได้โดยการดูที่ตัวชี้แนะ หรือคำสัญญาณ เช่น
verb "tobe" /be called
mean(s/ed) /called
consist of /may be seen as
refer to / can be defined as
may be described as /can be taught of
what this means is
แปลว่า "คือ หมายถึง หมายความว่า เรียกว่า "
2.Restement type (การกล่าวซ้ำโดยใช้คำศัพท์ที่ง่ายกว่า)
เป็นชนิดของตัวิชี้แนะที่ผู้เขียนบอกความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยด้วยการกล่าวซ้ำความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายขึ้น
สามารถดูได้จากตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณ (clues / signal words) และเครื่องหมายวรรคตอน (punctuation) ดังนี้ ตัวชี้แนะ หรือคำสัญญาณ ได้แก่
or( หรือ )
that is(นั่นคือ),
that is to say / i.e. (นั่นคือ)
in other word(กล่าวอีกนัยนึงคือ)
to put in another way (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ)
หมายเหตุ --- i.e. เป็นภาษาละติน มาจาก id est แปลว่า that is to sayเครื่องหมายวรรคตอน, ............................. เครื่องหมาย comma
,.............................., เครื่องหมาย commas-
เครื่องหมาย dash- .............................. - เครื่องหมาย dashes
(.............................) เครื่องหมายวงเล็บหรือ parentheses
3.Example type (การยกตัวอย่าง)
เป็นชนิดของสิ่งชี้แนะที่ผู้เขียนชี้แนะความหมายของคำศัพท์ไม่คุ้นเคยด้วยการให้หรือยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบความหมาย ของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น โดยปกติก่อนจะยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบเพื่อชี้แสดงความหมายของศัพท์ไม่คุ้นเคย ผู้เขียนมักจะให้คำชี้แนะหรือคำสัญญาณ หรืออาจเป็นเครื่องหมายวรรคตอน ได้แก่ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณfor example / e.g.for instancesuch as = ตัวอย่างเช่น , ยกตัวอย่างsuch ............aslikeหมายเหตุ : e.g.
เป็นภาษาละติน คือ exampli gratia แปลว่า for exampleเครื่องหมายวรรคตอน

, เครื่องหมาย comma
: เครื่องหมาย colon
- เครื่องหมาย dash

ตัวอย่าง Do you participatein one of the more popular avocation, such as jogging, tannis, or stamp collecting


Comparison or Contrast type
เป็นชนิดของสิ่งแนะที่ผู้เขียนชี้แนะความหมายด้วยการเปรียบเทียบ (Comparison) หรือการแย้งความ (Contrast) โดยปกติ ผู้เขียนมักจะให้ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณแสดงการเปรียบเทียบ หรือแสดงการขัดแย้งในทางตรงกันข้ามกันมาภายในข้อความนั้นๆตัวชี้แนะหรือ
คำสัญญาณที่แสดงการเปรียบเทียบ เช่น

as / as.................as เหมือนกับ
like / alike เหมือนกับ
similar to เหมือนกับ ,คล้ายกับ
resemble (v) เหมือนกับ
similarily (adv) ในทำนองเดียวกัน
likewise (adv) ในทำนองเดียวกัน
correspondingly (adv) ในทำนองเดียวกัน
in the same way (adv) ในทำนองเดียวกัน
in like manner (adv) ในทำนองเดียวกัน
comparing เปรียบเทียบกับ
compare with เปรียบเทียบกับ
as if / as though ราวกับว่า


ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณที่แสดงการขัดแย้ง
but / yet แต่
however / nevertherless แต่อย่างไรก็ตาม
though / although/ even though แม้ว่า
while / whereas ในขณะที่ (แสดงการแย้งกัน)
on the other hand ในทางตรงกันข้าม
on the contrary ในทางตรงกันข้าม
in contrast ในทางตรงข้าม
conversely ในทางกลับกัน
in spite of / despite แม้ว่า


วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิธีการใช้พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ

วิธีการใช้ Dictionary
1.ต้องรู้จักส่วนประกอบของ Dictionaryกันก่อนว่ามีกี่ส่วนประกอบ
คำตอบง่ายๆ คือมี 7 ส่วน ประกอบนั้นเอง ได้แก่
1.) Headword คือ คำที่เราต้องการค้นหา หรือคำแรกที่ขึ้นต้นในหน้าที่เรากำลังค้นหานั้นเอง
2) Part of speech คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำนาม คำสรรพนาม กริยา กริยาวิเศษ ถ้าเราเปิดดูคำศัพท์เราก็จะรู้ว่าคำนั้น เป็นคำอะไร แล้วส่วนประกอบของคำเป็นอย่างไร
3.) Pronunciation ก็คือการออกเสียง เวลาเราดู Dictionary เราสามารถดูได้ว่าคำนี้ สามารถออกเสียงได้อย่างไร
4.) Meaning informs คือ ความหมายของคำศัพท์ ว่าความหมายคืออะไร มีกี่ความหมาย คำศัพท์บางตัว มีหลายความหมายนะคะ นักศึกษาควรจำไว้
5.) Sample sentence คือ ตัวอย่างประโยคที่แสดงให้ดู
6.) Idiom describes คือสำนวนที่แสดงให้ดูว่าคำศัพท์นั้นสามารถนำมาสร้างเป็น สำนวนได้หรือไม่
7.) Phrasal verb คือ วลี ที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำได้ เช่น sit up, take off.

2.นัค้นหาคำศัพท์ได้โดยดูจากตัวอักษรที่ละตัว พจนานุกรมนั้นเรียงลำดับคำจาก A ไปถึง Z

3. ให้สังเกตคำนำทางหรืออักษรนำหน้าที่ปรากฏอยู่ตอนบนของหัวกระดาษแต่ละหน้าเพื่อจะได้ทราบว่าคำที่ต้องการหามีอยู่ในหน้านั้นหรือไม่3. เมื่อเปิดหาคำศัพท์ในพจนานุกรมก็จะพบกับ- ลำดับที่ (Number)- คำศัพท์ (Vocabulary)- ประเภทคำ (Part of Speech)- ความหมายภาษาไทย - คำจำกัดความ (Meaning / Definition) ดังกล่าว